พยาธิตัวกลม
1. โรค Enterobiasis
เป็นโรคพยาธิตัวกลมเกิดจากเชื้อพยาธิชื่อ
Enterobius vermicularis หรือที่เรียกว่าพยาธิเข็มหมุด
โรคนี้ติดต่อง่าย มักจะพบเป็นทั้งครอบครัวหรือที่ที่คนอยู่เป็นหมู่ เช่น โรงเรียน
เด็กเป็นมากกว่าผู้ใหญ่
ภาพที่ 1 พยาธิเข็มหมุด
วงจรชีวิต
วงจรชีวิตของ Enterobius
vermicularis
พยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในตอนต้นของลำไส้ใหญ่
กลางคืนพยาธิตัวเมียจะออกมาวางไข่ใกล้ทวารหนักแล้วก็ตาย .ไข่จะติดอยู่บริเวณนั้น
หรือเครื่องนุ่งห่ม ไข่จะกลายเป็นระยะติดต่อใน
24-36 ชั่วโมง เมื่อผู้ป่วยเกาก้นไข่ก็จะติดเล็บมือ
เมื่อผู้ป่วยรับประทานอาหารโดยใช้มือจับอาหาร ก็กินไข่พยาธิเข้าไปการติดต่อระหว่างคนสู่อีกคนหนึ่งอาจจะเกิดได้
4 วิธี วิธีที่หนึ่ง พบบ่อยที่สุดคือการติดต่อโดยตรงจากการกินไข่พยาธิที่ติดกับมือหรือติดตามเล็บ วิธีที่สอง ผู้ป่วยกินไข่พยาธิที่ติดตามเครื่องนุ่งห่ม
หรือผ้าคลุมที่นอน วิธีที่สาม กินไข่พยาธิที่ปลิวอยู่ในอากาศ วิธีที่สี่ ไข่ฟักเป็นตัวอ่อนที่ทวารแล้ไชกลับในลำไส้ใหญ่
ไข่จะเจริญเป็นตัวอ่อนที่ลำไส้เล็ก และจะเจริญเป็นตัวแก่ที่ลำไส้ใหญ่ ตั้งแต่ไข่ที่รับประทานเข้าไปจนกระทั่งเป็นตัวแก่ใช้เวลา
1 เดือน อายุโดยเฉลี่ยของตัวแก่ประมาณ 2 เดือน
อาการของโรค
บางรายไม่มีอาการ
หรืออาการไม่รุนแรง ส่วนมากคันทวารหนักเวลากลางคืน ทำให้เด็กนอนหลับไม่สนิท
ร้องกวน บริเวณที่เกาอาจจะเกิดการอักเสบ และเกิดติดเชื้อแบคทีเรีย
บางครั้งอาจจะทำให้เกิดการอักเสบของช่องคลอด เด็กจะหงุดหงิด ปวดท้อง น้ำหนักลด
การวินิจฉัย
ตรวจพบไข่พยาธิจากบริเวณทวารหนัก
โดยวิธีขูดหรือแตะทวารหนักด้วย Scotch
tape ในเวลาตื่นนอนตอนเช้า พบพยาธิตัวแก่บริเวณทวารหนัก
ภาพ 2 จากการใช้เทปปิด
ภาพ 3 เป็นการดูสดจะเหมือนรูปอักษรD และมีตัวอ่อนอยู่ในไข่
ภาพที่ 4 พยาธิเข็มหมุด
การรักษา
- ให้ยา mebendazole
รับประทาน 100 มก.เคี้ยวและกลืนครั้งเดียว
- ให้ยา pyrantel
pamoate 10 มก./กก ให้ยาครั้งเดียว
การป้องกัน
-
รักษาสุขอนามัย รับประทานอาหารโดยใช้ช้อน ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร
ซักล้างเสื้อผ้า ตัดเล็บ ทำความสะอาดห้องน้ำ
-
ให้ยาถ่ายทุกคนที่เป็นโรคนี้
ที่มา : \http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/parasite/entero.htm#.VmK5XHYrLIU
(27 Nov,2015)
2. โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอีโอซิโนฟิลิก (Eosinophilic
meningoencephalitis)
ภาพที่ 1 พยาธิหอยโข่ง
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอีโอซิโนฟิลิก
(Eosinophilic meningoencephalitis ) หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า
โรคแองจิโอสตรองจิลิเอซิส แคนโทเนนซิส เกิดจากพยาธิตัวกลม Angiostrongylus
cantonensis ซึ่งปกติแล้วพยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในหลอดเลือดแดงของปอดหนู ผู้ป่วยจะมีอาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบและสมองอักเสบ
น้ำไขสันหลังจะมีจำนวนเซลล์สูง ตรวจพบในน้ำไขสันหลัง
มีเซลล์เพิ่มขึ้น เท่ากับหรือมากกว่า 20% โดยมีจำนวนเซลล์อีโอซิโนฟิลมากกว่า
10% จึงเรียกว่า โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอีโอซิโนฟิลิก
ติดต่อโดย คนกินหอยโข่ง หอยทากยักษ์ สัตว์น้ำหรือพืช ที่มี ตัวอ่อนระยะที่ 3
ของพยาธิชนิดนี้เข้าไป เข้าสู่และก่อโรคของระบบประสาทกลาง
คือ สมอง ไขสันหลัง และเยื่อหุ้มสมอง
แหล่งปรากฎโรค
สำหรับประเทศไทย
ได้มีการพบผู้ป่วยที่เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอับเสบและมีเซลล์อีโอซิโนฟิล
ประปรายกระจายอยู่ทั่วไป เท่าที่พบแล้วมีมากทางภาคอิสาน กรุงเทพ อยุธยา ปราจีนบุรี
สระบุรี โดยพบพยาธิจากการตรวจศพ พบว่า หอยโข่ง (Pila snail) เป็นโฮสต์
กึ่งกลาง นำโรคที่สำคัญในประเทศไทย
เนื่องจากผู้ป่วยด้วยโรคนี้มีประวัติอาการหลังจากกินหอยโข่ง
และยังตรวจพบพยาธิตัวอ่อน A. cantonensis ในหอยโข่งที่จับเอามาตรวจ
จากแหล่งที่ผู้ป่วยนำมาทำอาหารด้วย นอกจากนี้ พิพัฒน์
ชุติชูเดช ได้ตรวจพบพยาธิตัวแก่จากหนู ในปี พ.ศ. 2505
จึงเป็นที่ทราบว่า โรคแองจิโอสตรองจิลิเอซีสมีอยู่ในประเทศไทย
และน่าจะเป็นโรคประจำถิ่นเช่นเดียวกับที่พบในหมู่เกาะทะเลใต้
รูปร่างลักษณะ
ภาพที่ 2 รูปร่างพยาธิหอยโข่ง
ลักษณะสำคัญทั่วไปของพยาธิตัวกลม Angiostrongylus cantonensis หรือพยาธิในปอดของหนู
มีลำตัวเรียว เล็ก ขณะมีชีวิตจะสีใส ผิวหนังเรียบมีรอยบั้งขวาง ส่วนหัวประกอบด้วย
ริมฝีปาก 3 อัน ไม่มีกระพุ้งลำคอ จากปากเปิดตรงสู่
หลอดคอซึ่งจะขยายกว้างตรงส่วนต่อกับลำไส้
ตัวผู้มีขนาดยาว 15.9 - 19 มม. กว้าง 0.25 มม.
ปลายหางเจริญแผ่เป็นอวัยวะรูปไตสำหรับจับระหว่างสืบพันธุ์
ตัวเมีย มีขนาดยาว 21 - 25 มม. กว้าง 0.03 - 0.36 มม.
ปลายหางมีลักษณะมนทู่ แต่ไม่มีปุ่มเล็กๆยื่นออกมา ตรงปลายสุด ในสภาพมีชีวิต
พยาธิตัวเมียจะมีลักษณะพิเศษจำเพาะ เรียกว่า บาร์เบอร์โพล (barber'pole) เกิดจากท่อรังไข่ที่มีสี ขาวขุ่นพันรอบลำไส้ที่มีสีเข้ม
ท่อรังไข่เหล่านี้จะรวมตัวและเปิดออกสู่ช่องเปิดอวัยวะสืบพันธุ์ (vulva
opening) อยู่หน้าช่องเปิดอวัยวะขับถ่าย (anus)
ตัวเมียจะออกไข่ได้วันละ 15,000 ฟอง ไข่มีลักษณะยาวรี เปลือกบางใส ขนาดเฉลี่ย 47
x 70 microns ไข่ที่ ออกมาใหม่ยังไม่มีตัวอ่อน ต่อมาภายหลังจึงเจริญเป็นตัวอ่อนขดตัวอยู่ภายในไข่
แต่จะตรวจไม่พบในอุจจาระ เนื่องจากพยาธินี้ ออกไข่และฟักเป็นตัวในเนื้อปอด ดังนั้น
การตรวจอุจจาระของหนูพบแต่เพียงพยาธิตัวอ่อนระยะแรกเท่านั้น
วงจรชีวิตของพยาธิ
วงจรชีวิตของ Angiostrongylus
cantonensis
พยาธิตัวกลม Angiostrongylus cantonensis โดยธรรมชาติเป็นพยาธิของหนู
ตัวแก่ของพยาธิอาศัยอยู่ใน
หลอดเลือดแดงพัลโมนารี่ย์ของหนูและสัตว์ฟันแทะเมื่อพยาธิออกไข่
(ไข่มีลักษณะคล้ายไข่ของพยาธิปากขอ) ก็ไปตามกระแสเลือดเข้าไปติด
อยู่ที่หลอดเลือดฝอยของปอด ขณะที่อยู่ในปอดพยาธิตัวอ่อนจะฟักออกจากไข่
เป็นตัวอ่อนระยะที่ 1 (first stage larva) แล้วไช
ทะลุถุงลมปอด และเดินทางขึ้นไปตามหลอดลมจนกระทั่งถึงคอหอย
แล้วถูกกลืนลงไปในกระเพาะอาหารและลำไส้ หนูถ่าย ออกมาพร้อมกับอุจจาระ ตัวอ่อนระยะที่ 1 จะไชเข้าหอยซึ่งเป็นโฮสต์กลาง ได้แก่ หอยโข่ง หอยปัง หอยทาก ตัวทากและกุ้ง
พยาธิตัวอ่อนจะไชเข้าไปอยู่และเจริญต่อไปในโฮสต์ดังกล่าว จนเป็นตัวอ่อนระยะที่ 3
( third stage larva) ซึ่งเป็นระยะติดต่อ
เมื่อหนูกินโฮสต์ที่มีตัวอ่อนระยะที่ 3 ก็จะได้พยาธิตัวอ่อนเข้าไปในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
ตัวอ่อนของพยาธิจะไชผ่านกระแสโลหิต ไปเจริญในสมองและเยื่อหุ้มสมอง
เป็นตัวอ่อนระยะที่ 4 และระยะที่ 5 และสุดท้ายเจริญเติบโตเป็นตัวแก่จึงเข้ากระแสโลหิตใหม่
แล้วเดินทางมาอาศัยอยู่ในหลอดเลือดแดงพัลโมนารี่ย์ของหนู
ภาพที่ 3
หอยที่เป็นโฮสต์กลาง
อาการสำคัญ
ระยะฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์
แต่บางรายอาจจะมีอาการหลังจากรับประทานหอยโข่งไป 24 ชั่วโมงหลังจากผู้ป่วยกินหอยโข่ง
หรือหอยทากยักษ์ จะมีอาการ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ในช่วง 1 – 2 ชั่วโมง หลังกิน ปวดศีรษะน้อยๆ ในช่วง 2 – 3 วันแรก
และปวดมากขึ้นอย่างเฉียบพลัน บางคนปวดตุบๆ บางคนปวดมากคล้ายศีรษะจะระเบิด
สายตาเสื่อม หลังและคอแข็ง ฟันดัสผิดปกติ Kerning's sign ให้ผลบวก
ซึม หมดสติ ผิวหนังชา แขนขาอ่อนแรง ใบหน้าและกล้ามเนื้อตาเป็นอัมพาต ชักกระตุก
ระบาดวิทยา
เขตปรากฏโรค
พบได้ในหมู่เกาะแปซิฟิคและประเทศบริเวณเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ เช่น
ฮาวาย ตาฮิติ ไต้หวัน เกาหลี อินโดนีเซีย เวียตนาม นอกจากนี้มีรายงานพบที่
นิวคาเลโดเนีย มาดากัสการ์ อียิปต์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เปอร์โตริโก
สำหรับประเทศไทย เริ่มมีรายงานผู้ป่วยในปี พ.ศ. 2498
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521- 2530 พบผู้ป่วย 8,334
ราย เสียชีวิต 32 ราย พบว่า
มีการระบาดทุกภาคของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบผู้ป่วยสูงสุด รอง ลงมาได้แก่
ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ซึ่งโรคนี้พบว่า
อยู่ในแถบภูมิภาคเขตร้อนที่มีสภาพภูมิอากาศเหมาะสม เช่น ฝน ตกชุก
อุณหภูมิเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของโฮสต์กลาง คือ หอย และสัตว์น้ำอื่นๆ
รวมทั้งโฮสต์สุดท้ายคือ หนู ซึ่งมีพยาธิ เติบโตอยู่
ในประเทศไทยซึ่งมีความเหมาะสมทุกด้านทั้งสภาพภูมิศาสตร์ อากาศ
ตลอดจนอุปนิสัยการกินของคนไทยซึ่ง น่าจะเชื่อได้ว่า โรคแองจิโอสตรองจิลิเอซิสนี้
มีอยู่ในประเทศมานานแล้ว เพราะมีหลักฐานเชื่อว่าหอยทากยักษ์แอฟริกันแพร่
เข้ามาสู่ประเทศไทยจากแอฟริกาตะวันออก ตั้งแต่พ.ศ. 2480 แต่เนื่องจากขาดความสนใจ
และแพทย์ไม่รู้จักโรคนี้ดีพอหรือ อาการที่เกิดในคนไข้ส่วนมากมีน้อย หายเองได้
และมีอัตราการเสียชีวิตตลอดจนความผิดปกติทางประสาทน้อย ก็เป็นได้
· เพศ พบผู้ป่วยเพศชายมากกว่าเพศหญิง
· อายุ พบทุกกลุ่มอายุ มากที่สุดกลุ่มอายุ 20 - 39 ปี
· ฤดูกาล อัตราการป่วยมักพบสูงภายหลังฝนตกชุกแล้ว 1 - 2 เดือน ประมาณ มกราคม - กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็น
ระยะที่หอยโข่ง หรือหอยทากโตพอกินได้
· อาชีพ พบได้ทุกอาชีพ พบมากในอาชีพเกษตรกร
· ระยะฟักตัว 3 - 36วัน เฉลี่ย 16
วัน ในรายที่มีอาการน้อย 1 - 20 วัน เฉลี่ย 8
วัน ในรายที่เป็นรุนแรง
ถ้าคนกินหอยโข่ง กุ้ง ดิบๆ
หรือสุกๆดิบๆ เช่น ทำเป็นยำและพล่า ซึ่งมีพยาธิตัวอ่อนระยะที่ 3 อยู่ พยาธิตัวอ่อนจะเดินทางไปที่สมองและเยื่อหุ้มสมอง
ทำให้เกิดการอักเสบของสมองและเยื่อหุ้มสมองชนิดมีจำนวนอีโอซิโนฟิลมาก (eosinophilic
meningoencephalitis) โดยธรรมชาติคนไม่ใช่โฮสต์ของพยาธินี้
ฉะนั้นพยาธิตัวอ่อนจะเจริญได้ไม่ดี และจะมีชีวิตอยู่ได้ระยะหนึ่งเพียง 1 -
2 เดือนเท่านั้น พยาธิก็จะตายไป
การวินิจฉัย
1. จากประวัติ การรับประทานหอยโข่ง หอยทากยักษ์ สัตว์น้ำดิบ
หรือสุกๆดิบๆ เช่น ยำ พล่า และผู้ที่ร่วมรับประทานด้วยกันมักมีอาการคล้ายๆกัน
ที่สำคัญ คือ อาการปวดศีรษะ
2. จากการตรวจร่างกาย
มีอาการแสดงของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เช่น คอแข็ง อัมพาต ตาเหล่ และตรวจพบ Kerning's
sign เป็นต้น
3. จากการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
· ตรวจ น้ำไขสันหลัง ทุกรายที่สงสัย
ดูว่ามีเซลล์สูงขึ้นเท่ากับหรือมากกว่า20 % และมี eosinophil สูงเท่ากับหรือมากกว่า 10% หรือไม่
· ตรวจเลือด พบจำนวนเม็ดเลือดขาวค่อนข้างสูง และ eosinophil สูงด้วย
· การตรวจหาตัวพยาธิ โดยตรวจพบในน้ำไขสันหลัง จากการตรวจศพ และในหอยโข่ง
หอยทากยักษ์ หรือ กุ้ง จากบริเวณที่ผู้ป่วยไปจับมารับประทาน
4. การตรวจทางปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน
· การทดสอบทางผิวหนัง โดยใช้แอนติเจน ที่เตรียมจากพยาธิ
แต่ไม่ให้ผลที่แน่นอน
· การตรวจ ซีรั่ม และ น้ำไขสันหลัง ด้วยวิธี คอมพลีเม้นท์ฟิคเซชั่น
และวิธี แม็กกลูติเนชั่น ได้ผลบ้างและยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
· การตรวจวิธี ELISA โดยใช้ แอนติเจน
เตรียมจากพยาธิตัวอ่อนระยะที่ 4 ที่อยู่ในสมองหนู ผลบวก
ไตเตอร์เท่ากับหรือมากกว่า 1:64 มีรายงานผลว่าดี
และเป็นที่น่าพอใจ
5. การตรวจทางเคมีคลินิกของน้ำไขสันหลัง
ส่วนมากมีโปรตีนสูงกว่า 50 มิลลิกรัม น้ำตาลและคลอไรด์ปกติ
6. การตรวจเลือดและตรวจทางเอ๊กซเรย์ และคลื่นสมอง
ยังไม่ได้ผลที่น่าเชื่อถือนัก
การรักษา
ส่วนใหญ่รักษาตามอาการ
การรักษาที่ดีที่สุดคือ การเจาะน้ำไขสันหลัง ออกบ่อยๆ ครั้งละ 3 - 10 มิลลิลิตรและการใช้สเตียรอยด์ชนิดกิน เช่น
เพรดนิโซโลน 30 - 60 มิลลิกรัม ต่อวัน ร่วมกับยาแก้ปวด พบว่า
อาการของโรคดีขึ้น
การป้องกันและควบคุม
- ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน โดยเฉพาะในเขตชนบท
ทราบถึงการติดต่อและการป้องกันไม่ให้เกิดเป็นโรคหลายๆทาง เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ
โทรทัศน์ และอาสาสมัครในด้านสุขศึกษา
- ต้องไม่รับประทานหอยหรือสัตว์น้ำอื่นๆ โดยไม่ทำให้สุกเสียก่อน
- น้ำดื่มควรต้มให้สะอาด เพราะอาจมีระยะติดต่ออยู่ในน้ำ
- พืชผักที่จะรับประทานสดๆ ควรล้างให้สะอาด
- ผู้ที่ใช้มือทำงานบริเวณที่มีหอยนำโรค ควรล้างมือให้สะอาดหลังเลิกงาน
- รณรงค์กำจัดหนูนา นอกจากลดความเสียหายทางผลผลิตการเกษตรแล้ว
ยังเป็นการช่วยกำจัดโฮสต์ที่สำคัญต่อวงจรชีวิตของพยาธิ
และการกำจัดหอยด้วยวิธีใส่สารเคมี แต่ทำได้ยากในประเทศไทย
ปัญหาและแนวโน้มของโรค
เนื่องจากประเทศไทยมีภูมิอากาศเหมาะสมในการเจริญเติบโตขยายพันธุ์ของหอยและหนู
ดังนั้น พยาธิ Angiostrongylus cantonensis และพยาธิอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน
จึงพบมากขึ้นและแพร่กระจายอยู่ทั่วๆไป ขณะเดียวกันการรายงานโรคจึงมีอยู่เสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งประชาชนชอบรับประทานอาหารดิบ เช่น
ลาบ ก้อย ทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมาก การแพร่กระจายของหอยทากยักษ์ (Achatina
fulica) ซึ่งเป็นตัวกลางนำโรคนี้อยู่ในประเทศ
แพร่กระจายไปได้เร็วมาก และพบได้ทั่วประเทศ ดังนั้นโรคนี้จะพบได้ทั่วประเทศเช่นกัน
เพราะหอยเป็นอาหารที่ดีของหนู แต่อย่างไรก็ตาม
ขณะนี้หอยทากยักษ์กลายเป็นสินค้าออกที่ทำรายได้ดี
ทำให้หอยทากยักษ์ลดลงอย่างรวดเร็ว และวิธีการเตรียมหอยทากยักษ์ได้ผ่านกรรมวิธีใช้ความร้อนสูง
พยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อในหอยจะตายหมด ไม่แพร่กระจายโรคต่อไป
ที่มา : http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/parasite/eosino.htm#.VmK7iHYrLIU (27 Nov,2015)
3.โรคพยาธิเเส้ม้า (Trichuliasis)
โรคพยาธิเเส้ม้า
คือโรคที่เกิดจากพยาธิตัวกลมที่ชื่อ ทริคูริส ทริคิยูร่า (Trichuris trichiura) หรือที่เรียกกันว่า พยาธิเเส้ม้า ที่เรียกอย่างนี้เพราะตัวพยาธิมีรูปร่างคล้ายเเส้
โดยมีหัวเรียวยาวคล้ายปลายเเส้ เเละส่วนท้ายของลำตัวอ้วนใหญ่คล้ายด้ามเเส้
พยาธิตัวเต็มวัยใช้ส่วนหัวฝังอยู่ในบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนต้น
พยาธิตัวผู้มีความยาวประมาณ 30-45 มม.
ส่วนพยาธิตัวเมียมีความยาวประมาณ 35-50 มม.
รูปที่ 1 ตัวเต็มวัยเพศเมียเเละเพศผู้ของพยาธิ Trichuris
trichiura
การระบาด
มีการระบาดมากในเขตอากาศร้อนชื้น
โดยเฉพาะในภาคใต้ ซึ่งมีฝนตกชุกตลอดปี ความชื้นสูง เเละมีร่มเงาจากต้นยางพารา
ซึ่งเเสงเเดดส่องลงไปไม่ถึง เหมาะกับการเจริญของไข่พยาธิชนิดนี้
เเหล่งระบาดของพยาธิเเส้ม้ามักคล้ายคลึงกับของพยาธิไส้เดือนกลม
จึงมักพบพยาธิทั้งสองนี้ระบาดร่วมกันเสมอ
การติดต่อ
การติดต่อของพยาธิเเส้ม้าจะคล้ายคลึงกับของพยาธิไส้เดือนกลม
คนติดโรคโดยการกินไข่พยาธิระยะติดต่อ ที่ปนเปื้อนเข้าไปกับอาหาร น้ำดื่ม
หรือที่ติดมากับเเมลงวันที่ตอมอาหาร ในเด็กเล็กที่ชอบเล่นคลุกคลีกับดิน
อาจกินไข่พยาธิที่ติดมากับมือเข้าไปโดยตรง
ในผู้ใหญ่ถ้ามีการติดเชื้อไม่มาก
ก็จะไม่ค่อยมีอาการ เเต่ในเด็กเล็กอาจเกิดอาการเเทรกซ้อนที่รุนเเรงได้
อาการโดยทั่วไปที่พบคือ ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
ปวดหัว มีไข้ต่ำได้ ในรายที่มีการติดเชื้อมากๆ อาจทำให้เลือดจาง
อุจจาระเป็นมูกปนเลือดเรื้อรัง ปวดเบ่ง เเละอาจทำให้สำไส้ปลิ้นออกมาทางทวารหนัก (rectal prolapse) เด็กเติบโตช้า เเละเเคระเเกร็น
การวินิจฉัย
โดยการตรวจหาไข่พยาธิในอุจจาระ
ยาที่ให้ผลในการรักษาคือ mebendazole เเละ albendazole เเละอาจให้ยารักษาซ้ำ
ถ้ามีการติดเชื้อจำนวนมาก
การป้องกัน
รักษาอนามัยส่วนบุคคลเเละสิ่งเเวดล้อมให้ดี
เช่นการล้างมือให้สะอาดก่อนการกินอาหาร กินอาหาร เเละน้ำดื่มที่สะอาด
ผักที่ต้องการกินสด ควรล้างดินออกให้สะอาด ไม่ให้มีการปนเปื้อนของไข่พยาธิ
สร้างนิสัยการถ่ายอุจจาระลงส้วมให้ถูกสุขลักษณะ
4. โรคพยาธิไส้เดือน (Ascariasis)
พยาธิไส้เดือน มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Ascaris
lumbricoides มีลักษณะเป็นพยาธิตัวกลม
ขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายไส้เดือนดิน ตัวผู้โตเต็มวัยจะมีขนาดยาวประมาณ 15-30 ซม.(เซนติ เมตร) ตัวเมียโตเต็มวัยจะมีขนาดยาวประมาณ 25-35 ซม. ตัวแก่จะมีอายุประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี
พยาธิไส้เดือนเป็นปรสิตอาศัยอยู่ในทางเดินอาหารของคน
โดยคนเป็นตัวให้อาศัย หรือ โฮสต์ (Host)
ซึ่งตัวและไข่ของมันจะปะปนออกมากับอุจจาระ
และเมื่อคนรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนไข่ของมัน
ก็จะเกิดการติดเชื้อพยาธินี้ วนเวียนเป็นวงจรต่อเนื่องต่อไป
การติดต่อ
คนติดพยาธิไส้เดือนได้
โดยการรับประทานอาหาร หรือ ดื่มน้ำที่มีไข่พยาธิปะปนอยู่
โดยเฉพาะน้ำที่ไม่ได้ต้มสุก หรืออาหารที่ไม่สะอาด
ไข่ที่ไม่ถูกผสมจะไม่ติดต่อเพราะไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวได้
จะติดต่อเฉพาะไข่ที่ถูกผสมแล้วเท่านั้น
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ของโรคพยาธิไส้เดือนจะอยู่ในประเทศเขตร้อน
พบได้ทุกเพศและทุกวัย แต่มักพบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน เพราะเป็นวัยชอบเล่นสิ่งสกปรก
ในประเทศไทยจะพบผู้ป่วยทางภาคใต้มากกว่าภาคอื่น
เพราะมีอากาศร้อนชื้นมากกว่าภาคอื่นๆ
วงจรชีวิตของพยาธิไส้เดือน
ตัวแก่ของพยาธิไส้เดือน จะอยู่ในลำไส้เล็กของมนุษย์ จากนั้นจะผสมพันธุ์ออกไข่ปนออกมากับอุจจาระ
โดยตัวเมีย 1 ตัวสามารถออกไข่ได้ถึง 200,000 ฟองต่อวัน ไข่จะออกมากับอุจจาระ ทำให้สามารถตรวจพบได้ในอุจจาระของผู้ป่วย
ไข่ที่ผสมแล้วจะเจริญเป็นตัวอ่อนภาย ในเวลา 10-21 วัน
และเป็นระยะติดต่อ ถ้าผู้ป่วยไม่ได้ถ่ายอุจจาระลงส้วม ไข่จะอยู่ในดินหรือปะ
ปนอยู่ในน้ำ ถ้ามีคนอื่นดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีไข่พยาธิที่ถูกผสมแล้วเข้าไป
เปลือกไข่พยาธิจะไปแตกในลำไส้ หลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิที่ออกมาจากไข่
จะไชออกจากผนังลำ ไส้ เข้าสู่กระแสเลือด เลือดจะพาตัวอ่อนไปผ่านปอด ซึ่งตัวอ่อนจะเจริญเป็นตัวแก่ในปอดโดยใช้เวลาประมาณ 10-14 วัน จากนั้นตัวพยาธิจะออกมากับเสมหะ ซึ่งจะถูกกลืนเข้าหลอดอาหารลงสู่ลำไส้
เจริญเติบโตกลายเป็นตัวแก่เต็มที่ต่อไป
อาการของโรคพยาธิไส้เดือน
- อาการที่เกิดจากพยาธิตัวอ่อนเดินทางผ่านปอดได้แก่ ไอ แน่นหน้าอก หอบเหนื่อย มีไข้คล้ายปอดอักเสบ ตรวจเสมหะอาจพบตัวอ่อนปนออกมาได้
(มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์)
บางครั้งอาจมีอาการลมพิษเกิดด้วย อาการดังกล่าว
จะเกิดหลังได้รับไข่ประมาณ 4-16 วัน บางคนอาจนานถึง 3
สัปดาห์
- อาการที่เกิดจากพยาธิตัวแก่ในลำไส้เล็กได้แก่ อาการขาดอาหารโดยเฉพาะในเด็ก ผอมผิดปกติ
ท้องใหญ่ ปวดท้องบ่อย คลื่นไส้ อาเจียน ถ้ามีพยาธิจำนวนมาก
อาจจะพันกันเป็นก้อนจนเกิดลำไส้อุดตันได้ (ปวดท้องมาก และไม่ผายลม จนเป็นสาเหตุต้องไปโรงพยาบาล) บางครั้งพยาธิจะไชไปอุดท่อน้ำดี เกิดอาการตัวเหลืองตาเหลืองหรือดีซ่านได้ บางครั้งพยาธิจะย้อนกลับมาที่หลอดอาหารและเข้าไปในหลอดลม
เกิดหลอดลมอุดตันเฉียบพลันได้ และที่พบได้บ้างไม่บ่อยนัก คือ พยาธิไชทะลุผนังลำไส้ ส่งผลให้เกิดภาวะ เลือดออกในลำไส้ และ ลำไส้ทะลุได้ (ผู้ป่วยมีอาการซีด ปวดท้องมาก
และอาจมีไข้สูงจากเยื่อบุช่องท้องอักเสบ)
แพทย์วินิจฉัยโรคพยาธิไส้เดือน
แพทย์วินิจฉัยโรคพยาธิไส้เดือนได้จาก
ตรวจอุจจาระพบไข่พยาธิ พบตัวแก่ขนาดโตเต็มที่หลุดออกมากับอุจจาระ
หรือ ปนออกมากับอาเจียน บางครั้งพบภาพตัวพยาธิจากการเอกซเรย์ช่องท้อง
ภาพที่ 2 ไข่ Ascaris
lumbricoides
รักษาโรคพยาธิไส้เดือน
แพทย์รักษาโรคพยาธิไส้เดือน โดยการให้ยาถ่ายพยาธิ ซึ่งปริมาณยาและจำนวนวันที่รับ
ประทานยาขึ้นกับชนิดของยา เช่น ยาบางชนิดรับประทานครั้งเดียว บางชนิดรับประทาน 3
วัน
ตัวอย่างยาถ่ายพยาธิไส้เดือน เช่น
- ยา Mebendazole
- ยา Albendazole
- ยา Piperazine citrate
การดูแลตนเองเมื่อเป็นพยาธิไส้เดือน คือ
รับประทานยาถ่ายพยาธิตามที่แพทย์สั่งจนครบ
รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การดื่มน้ำ และ อาหารที่สะอาด
ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะทุกครั้งก่อนกินอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
ป้องกันโรคพยาธิไส้เดือน
ป้องกันโรคพยาธิไส้เดือนได้โดย
- ถ่ายอุจจาระในส้วมที่ถูกสุขลักษณะเสมอ อย่าถ่ายอุจจาระลงแม่น้ำลำคลอง
อย่าถ่ายอุจจาระลงพื้นดิน
- ล้างมือให้สะอาด ฟอกสบู่ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
เพื่อกำจัดไข่พยาธิที่อาจติด ตามมือและนิ้ว
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง โดยฟอกสบู่หลังจากถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
เพื่อกำจัดไข่พยาธิที่อาจติดมือไปแพร่ให้ผู้อื่นได้
- ล้างมือเด็กบ่อยๆ เพราะเด็กชอบดูดมือและนิ้ว ถ้ามือเด็กสกปรก
อาจมีไข่พยาธิเข้าปากได้
- ดื่มน้ำต้มสุกหรือน้ำที่ผ่านการกรองอย่างถูกต้อง
เพื่อกำจัดไข่พยาธิที่อาจปนเปื้อนอยู่ในน้ำได้
- ล้างผัก ผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทานเสมอ
เพราะในผักผลไม้สดอาจมีไข่พยาธิปะ ปนมาได้ เพราะสวนผัก ผลไม้บางแห่งอาจใช้อุจจาระเป็นปุ๋ย
- สำหรับผู้ทำอาหาร หรือ เตรียมอาหารต้องล้างมือฟอกสบู่ก่อนทำอาหารทุกครั้ง
เพื่อป้องกันไข่พยาธิปะปนลงไปในอาหาร
- ถ้าเดินทางไปประเทศที่การสาธารณสุขยังไม่ดี
ต้องระมัดระวังเรื่องการดื่มน้ำและอา หารเป็นพิเศษ
- ไม่นำอุจจาระมาเป็นปุ๋ยรดผัก
5.โรคพยาธิตัวจี๊ด (Gnathostomiasis)
โรคพยาธิตัวจี๊ดเกิดจากพยาธิตัวกลมในสกุล
Gnathostoma ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดหลายชนิดด้วยกัน
แต่ชนิดที่พบมากที่สุดคือ Gnathostoma spinigerum คนไม่ใช่โฮสต์เฉพาะของพยาธิ
แต่คนเกิดโรคจากการได้รับตัวอ่อนของพยาธิเข้าสู่ร่างกาย เรียกว่าโรคพยาธิตัวจี๊ด (Gnathostomiasis)
ลักษณะ
พยาธิตัวเต็มวัยทั้งเพศผู้และเพศเมียอาศัยอยู่ในก้อนทูมที่ผนังกระเพาะอาหารของแมว
สุนัข เสือ และสัตว์กินเนื้อชนิดอื่น ๆ
ตัวเต็มวัยที่พบจากกระเพาะอาหารของสุนัขหรือแมวนั้น (รูปที่ 1) เพศเมียยาวประมาณ 25-54 มิลลิเมตร กว้างประมาณ 1-2 มิลลิเมตร
เพศผู้ยาวประมาณ 11-25 มิลลิเมตร กว้างประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร (รูปที่ 2) ส่วนหัวแยกออกจากลำตัวชัดเจน และมีหนามเรียงอยู่รอบหัวประมาณ 8 แถว
การติดต่อ
คนเป็นโรคพยาธิตัวจี๊ดโดยการ
(1) ดื่มน้ำที่มีกุ้งไร (cyclops) ที่มีระยะติดต่อระยะที่สาม
(รูปที่ 3)
(2) โดยการรับประทานเนื้อปลา กบ ไก่ เป็ดฯลฯ
ที่มีระยะติดต่อระยะที่สาม โดยปรุงเนื้อสัตว์เหล่านี้ให้สุกด้วยความร้อนไม่เพียงพอ
(3) ติดต่อจากมารดาขณะอยู่ในครรภ์ (prenatal
transmission)
(4) ไชเข้าทางผิวหนัง ซึ่งพบจากการทดลองในสัตว์ทดลอง
อาการ
เมื่อคนได้รับตัวอ่อนระยะที่สามของพยาธิตัวจี๊ดเข้าไป
ตัวอ่อนจะไชไปตามบริเวณต่าง ๆ
ในร่างกายทำให้เกิดอาการแสดงตามตำแหน่งที่มีพยาธิอยู่ เช่น
ไชไปตามเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังก็เกิดอาการบวมเคลื่อนที่
หรือเข้าสมองก็เกิดสมองอักเสบ หรือไชไปที่ลูกตา เป็นต้น
การวินิจฉัย
ควรได้รับการวินิจฉัยโรคจากแพทย์
แพทย์จะวินิจฉัยโรคจากประวัติการกินอาหารดิบ ๆ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ
อาหารที่พบเสมอได้แก่ ส้มฟัก ปลาหรือไก่ย่างที่ไม่สุกพอ ยำกบ ฯลฯ อาการที่แสดง
เช่น บวมเคลื่อนที่ ปวดจี๊ด ๆ และคัน เป็นต้น การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น
ภาวะที่มีอีโอสิโนฟิลสูงในเลือด การทดสอบทางผิวหนัง (skin test) ผลบวกของการทดสอบช่วยประกอบการวินิจฉัยโรคได้
แต่ไม่จำเพาะต่อโรคพยาธิตัวจี๊ด 100% การตรวจทางภูมิคุ้มกันวิทยาด้วยวิธี
ELISA โดยใช้แอนติเจนจากตัวอ่อนระยะที่สามของพยาธิตัวจี๊ด (crude
somatic extract) หรือใช้ชิ้นโพลีเปปไทด์ขนาด 24 kDa พบว่ามีความไวและความจำเพาะสูงถึง 100% การได้ตัวพยาธิออกมาจากการผ่าตัด
หรือพยาธิออกมาเองทางเหงือก เยื่อตาขาว หรือออกมากับปัสสาวะ เป็นต้น
เป็นวิธีการวินิจฉัยที่แน่นอนที่สุด
การรักษา
ผู้ป่วยไม่ควรทำการรักษาเองควรไปพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
ซึ่งขณะนี้ยังไม่มียาที่ได้รับการยอมรับว่ารักษาโรคพยาธิตัวจี๊ดได้ผลดี นอกจากยา Albendazole โดยให้ผู้ป่วยรับประทานขนาดวันละ 400
มิลลิกรัม ติดต่อกันนาน 21 วัน
จะทำให้พยาธิออกมาจากผู้ป่วยมากราย
การป้องกัน
โรคนี้ป้องกันได้ง่าย
โดยดื่มน้ำที่สะอาดไม่มีการปนเปื้อนของกุ้งไร
รับประทานอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อนอย่างดีแล้ว โดยเฉพาะเนื้อปลา ไก่ เป็ด กบ
เป็นต้น




















ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น